เตือน!! ผู้ที่ป่วย 6 โรคนี้ ห้ามดื่มกาแฟโดยเด็ดขาด!! mashare 15:18 0 Comments เตือน!! ผู้ที่ป่วย 6 โรคนี้ ห้ามดื่มกาแฟโดยเด็ดขาด!! หลายคนอาจไม่รู้ กาแฟ หนึ่งในเครื่องดื่มยอดนิยมที่หลายๆ คนชอบดื่มในยามเช้าหรือยามง่วงนอน ถ้าพูดถึง “กาแฟ” ก็จะนึกถึงกลิ่นหอมๆของกาแฟเลยค่ะ และกาแฟเป็นเครื่องดื่มที่ปลุกสมองให้ตื่นตัวและเพิ่มความสดชื่นให้แก่ร่างกาย คลายความเหนื่อยล้าทั้งทางกายและทางจิตใจ และกาแฟที่ดื่มกัน มีคุณประโยชน์ที่คุ้นเคยกันหลากหลายมากมาย เชื่อว่ากาแฟยังอาจมีประโยชน์ทางการแพทย์ด้านอื่น ๆ อีกมากมาย เช่น ป้องกันโรคพาร์กินสัน โรคนิ่วในถุงน้ำดี โรคเบาหวานชนิดที่ 2 เก๊าท์ อัลไซเมอร์ หืด มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งปอด และมะเร็งเต้านม เป็นต้น แต่ต้องระวังเรื่องปริมาณกันด้วยนะคะ ร่างกายเราควรรับคาเฟอีนในปริมาณไม่เกิน 300 มก. ต่อวันหรือประมาณ 2-3 แก้ว ต่อวันค่ะ ผู้ที่มีโรคประจำตัวดังต่อไปนี้ ไม่ควรดื่มกาแฟ วันนี้ Mashare มีข้อมูลมาแนะนำให้หลายๆคนที่อาจ จะยังไม่ทราบ เรามาดูกันเลยค่ะ ว่าโรคไหนกันบ้าง 1.ผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอาหาร ควรงดกาแฟ เพราะคาเฟอีนในกาแฟจะกระตุ้นให้ร่างกาย ผลิตน้ำย่อยในกระเพาะอาหารออกมามากขึ้นจะยิ่งเพิ่มกรด ในกระเพาะให้อักเสบมากขึ้นส่งผลทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหาร ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟโดยเฉพาะเวลา ท้องว่าง 2.ผู้ที่เป็นโรคหัวใจ คาเฟอีนจะทำให้หัวใจทำงานหนักถ้าเป็นคนชราที่เป็น โรคหัวใจอยู่คาเฟอีนในกาแฟจะทำให้การทำงานของหัวใจ มีประสิทธิภาพมากเกินไป อาจทำให้หัวใจเสื่อมเร็วขึ้น 3.ผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง คนที่มีโรคความดันโลหิตสูงจึงควรต้องระมัดระวังคาเฟอีน ในกาแฟจะทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น การสูบฉีดโลหิตมาก และนานขึ้นควรหลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟในตอนเครียดๆ หรือ ช่วงที่ร่างกายมีภาวะความกดดันมากเป็นพิเศษ 4.ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน คาเฟอีนในกาแฟ ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง หรือสูงขึ้นและมีผลทำให้ไตรกลีเซอร์ไรด์ กรดไขมันอิสระ สูงขึ้นอีกด้วยค่ะ 5.มีผลกระทบต่อการดูดซึมวิตามิน B1 วิตามิน B1 เป็นวิตามินที่มีคุณสมบัติช่วยรักษาสมดุลและ ความมั่นคงเกี่ยวกับระบบประสาทภายในร่างกาย ดังนั้นผู้ที่ ร่างกายขาดวิตามิน B1 อยู่แล้วควรงดดื่มกาแฟเพราะคาเฟ อีนจะยิ่งเข้าไปขัดขวางกระบวนการดูดซึมของวิตามินดังกล่าว ให้ทำงานบกพร่องมากขึ้นได้ 6.ผู้ที่เสี่ยงเป็นโรคกระดูกพรุน การดื่มกาแฟที่มีคาเฟอีนอาจทำให้แคลเซียมถูกขับออก ทางปัสสาวะมากขึ้นจนกระดูกอ่อนแอลง เนื่องจากคาเฟอีน มีคุณสมบัติช่วยกระตุ้นการขับปัสสาวะ หากดื่มกาแฟติดต่อ กันเป็นเวลานาน ย่อมทำให้ร่างกายสูญเสียแคลเซียม จนนำ มาสู่ความเสี่ยงของภาวะการ เกิดโรคกระดูกพรุนค่ะ ขอขอบคุณข้อมูลจาก : tnews,pobpad ขอขอบคุณภาพสวยๆจาก : internet
ประโยชน์ของพริก รสแซ่บที่ซ่อนสรรพคุณไว้เพียบ!! mashare 15:33 0 Comments ประโยชน์ดีๆ ของ “พริก” รสเผ็ดร้อน ที่หลายๆคนติดใจและยังซ่อนสรรพคุณไว้เพียบ!! วันนี้ Mashare นำเรื่องราวดี ๆ ของพริก สมุนไพรรสเผ็ดร้อน ที่ต้องมีติดครัวกันทุกบ้านเลยค่ะ พริกเป็นสมุนไพรไทยที่มีรสชาติจัดจ้าน ช่วยเพิ่มรสชาติอาหารให้ดีขึ้น พริกนั้นมีประโยชน์ดีๆ มากมายหลายข้อ เช่น ช่วยลดน้ำหนัก ป้องกันโรคมะเร็ง เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายให้แข็งแรง และลดความเสี่ยงโรคหัวใจ ก่อนที่เราจะรู้ว่าประโยชน์ของพริกมีประโยชน์อะไรบ้างนั้น เรามาทำความรู้จักเรื่องราวของพริกอีกนิดกันก่อนนะคะ พริก ประวัติและความเป็นมา มีการบันทึกว่าพริกถูกค้นพบครั้งแรกเมื่อประมาณ 7,000 ปี ก่อนที่อเมริกากลางและอเมริกาใต้ โดยคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส จากนั้นก็มีการนำพริกมาปลูกและเผยแพร่ไปทั่วยุโรป และลาม ไปทั่วโลก ทำให้พริกมีชื่อเรียกแตกต่างกันไปมากมาย เช่น พริก ภาษาอังกฤษคือ Chili หรือ Chili peppers ซึ่งก็มาจากคำว่า "พริก"ในภาษาสเปนซึ่งพริกมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่าCapsicum spp. พริกในบ้านเรามีหลายชนิด ตั้งแต่พริกชื่อดังอย่าง พริกขี้หนู พริกชี้ฟ้า ไปจนถึงพันธุ์พริกชื่อแปลกๆ ที่เราไม่ค่อยคุ้นหูอย่าง พริกจินดา พริกหัวเรือ พริกสีทน และพริกที่เผ็ดน้อย หรือไม่เผ็ดอย่าง พริกหวาน พริกหยวก เป็นต้น ชื่อเสียงที่โดดเด่นที่สุดของพริก ต้องยกให้เรื่องความเผ็ด เพราะว่าพริก คือ เครื่องเทศที่ให้รสเผ็ดร้อนชนิดหนึ่ง เนื่องจากในพริกมีสารแคปไซซิน (Capsicin) ที่เป็นสารที่ให้ความเผ็ดร้อน โดยสารชนิดนี้จะกระจายอยู่ในทุกส่วนของพริก แต่ส่วนที่พบมากที่สุดหรือเผ็ดมากที่สุดก็คือ รกหรือไส้ของพริกนั่นเอง ซึ่งสารนี้มีคุณสมบัติพิเศษตรงที่สามารถทนความร้อนได้ดี แม้ว่าจะผ่านกระบวนการทำให้สุกหรือตากแดดร้อน ๆ จนแห้งแล้วก็ตาม แต่พริกก็ยังคงความเผ็ดร้อนไว้ได้ดังเดิม พริก ประโยชน์ดี ๆ ของการกินเผ็ด ! 1.ช่วยลดน้ำหนัก การทานพริกช่วยลดน้ำหนักได้ เนื่องจากแคปไซซินในพริก มีสาร thermogenic ที่เป็นสารทำให้เกิดความร้อนภายในร่างกาย ส่งผลดีต่อระบบเผาผลาญ ช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญทำงานได้ดีขึ้น ส่งผลให้น้ำหนักตัวของเราลดได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ พริกยังมีกรดแอสคอร์บิก ที่ช่วยเร่งให้ร่างกายเปลี่ยนไขมันเป็นพลังงานได้ด้วย โดยมีการศึกษาจากประเทศญี่ปุ่นพบว่า การทานพริก 10 กรัม จะช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญในร่างกายได้อย่างรวดเร็ว และยาวนานมากถึง 30 นาที สำหรับใครที่อยากลดน้ำหนัก แนะนำให้ทานพริกในรูปแบบสารสกัดดูนะคะ โดยในพริกยังมีวิตามินซีสูง สามารถขยายเส้นเลือดในลำไส้และกระเพาะอาหาร ทำให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้เป็นอย่างดี และช่วยกระตุ้นระบบขับถ่ายของเราดีขึ้นด้วยค่ะ 2.ช่วยทำให้อารมณ์ดี เชื่อหรือไม่ว่าการทานพริก ช่วยทำให้เราอารมณ์ดี สดชื่น เนื่องจากสารแคปไซซินในพริกจะช่วยกระตุ้นให้สมองหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน สารชนิดนี้มีคุณสมบัติหลายประการต่อร่างกาย ช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด ยังช่วยในการลดฮอร์โมนความเครียด ทำให้เราอารมณ์ดี รุ้สึกสดชื่น ทำให้ความดันโลหิตลดลง รู้สึกผ่อนคลาย และทำให้เรามีความสุขมากขึ้น 3.ช่วยให้เจริญอาหาร นอกจากสารเอ็นดอร์ฟินจะช่วยทำให้อารมณ์สดใสขึ้นแล้วยังช่วยทำให้อาหารอร่อยมากยิ่งขึ้น และพริกจะไปทำให้ต่อมน้ำลาย ทำงานมากขึ้น ช่วยกระตุ้นปลายประสาท ทำให้สมองส่วนกลางรับรู้ความอยากทานอาหาร ทำให้หลายคนชอบทานเผ็ด รู้สึกว่ายิ่งทานอาหารที่มีรสเผ็ด ยิ่งเผ็ดก็ยิ่งกินอร่อย 4.ช่วยลดอาการปวด เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า สารแคปไซซินที่อยู่ในพริกสามารถกระตุ้นร่างกายให้หลั่งสารเอ็นดอร์ฟินออกมา ซึ่งเป็นสารที่ช่วยลดอาการเจ็บปวดโดยธรรมชาติ จึงทำให้เรู้สึกเจ็บปวดน้อยลงได้ ในสมัยก่อนได้มีการนำพริกมาทำลูกประคบ ใช้ทำน้ำมันแก้ปวดเมื่อยตามข้อ ในปัจจุบันได้มีการสกัดสารแคปไซซินออกมา โดยนำมาเป็นส่วนประกอบของขี้ผึ้งและเจล ใช้ทาบรรเทาอาการปวดบวมบริเวณต่าง ๆ ของผิวหนัง ช่วยบรรเทาอาการปวดที่เกิดจากเส้นเอ็น เข่าอักเสบ แก้ปวดข้อได้เป็นอย่างดี และยังช่วยลดอาการปวดเมื่อยตามตัวลงได้อีกด้วย 5.ช่วยบำรุงสายตา ในพริกยังมีปริมาณวิตามินเอและวิตามินซีอยู่มาก มีเบต้าแคโรทีนซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีสรรพคุณบำรุงและป้องกันความเสื่อมของจอประสาทตาได้ พริกจัดเป็นอาหารที่ช่วยบำรุงสายตาอย่างดีเลยค่ะ ถ้าอยากได้รับวิตามินเอจากพริก ควรต้องกินพริกสดๆ ที่ไม่ผ่านการปรุงสุกค่ะ เช่น พริกในส้มตำ หรือ เลือกกินพริกที่มีความเผ็ดน้อยอย่างพริกหยวก พริกหวาน เป็นต้นค่ะ 6.ช่วยให้หายใจสะดวกขึ้น สังเกตได้ว่าเวลาเราทานอาหารเผ็ดเข้าไป จะมีอาการน้ำมูก น้ำตาไหล นั่นเป็นเพราะความเผ็ดของพริก และสารก่อความร้อนที่อยู่ในพริก จะไปช่วยลดปริมาณน้ำมูก ทำให้หายใจโล่งขึ้น ลดอาการคัดจมูก บรรเทาอาการไอ ช่วยขับเสมหะออกมาได้ง่ายอีกด้วย สำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ เช่น ภูมิแพ้ ไซนัส หอบหืด และหลอดลมอักเสบ แนะนำให้รับประทานพริกอย่างเป็นประจำ แต่อย่าทานเผ็ดมากจนเกินไป จะทำให้เกิดการระคายเคืองในกระเพาะอาหารได้ค่ะ 7.ช่วยทำให้ระบบไหลเวียนในเลือดดีขึ้น การรับประทานพริกเป็นประจำ จะทำให้ระบบไหลเวียนเลือดดีขึ้น เนื่องจากสารแคปไซซินสามารถยับยั้งการหดตัวของหลอดเลือด ช่วยให้หลอดเลือดขยายตัว ส่งเลือดไปเลี้ยงอวัยวะส่วนต่างๆ ได้ดี เพราะพริกยังมีเบต้าแคโรทีนและวิตามินซี ที่ช่วยเพิ่มการยืดตัวของผนังหลอดเลือดให้รับกับแรงดันต่าง ๆ ได้ดี อีกทั้งยังช่วยเสริมสร้างผนังหลอดเลือดให้แข็งแรงขึ้น ลดอาการหลอดเลือดอุดตันและหลอดเลือดตีบได้ค่ะ 8.ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทาน ในพริกนั้น มีวิตามินเอและวิตามินซีที่สูงมาก เป็นที่รู้กันดีว่าวิตามินเอและวิตามินซีเป็นสารอาหารที่สำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกันและช่วยป้องกันโรคไข้หวัดได้ อีกทั้งในพริกยังมีเบต้าแคโรทีนและสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันในร่าง กายของเราให้แข็งแรงขึ้นได้อีกด้วย 9.ช่วยควบคุมคอเลสเตอรอล รู้ไหมคะว่ามีงานวิจัยทดลองให้ผู้ป่วยที่มีไขมันในเลือดสูงรับประทานพริกขี้หนู 5 กรัม ร่วมกับทานอาหารปกติเป็นระยะเวลา 4 สัปดาห์ แล้วนำผลมาเปรียบเทียบกับผู้ป่วยที่ไม่ทานพริก จากการทดลองพบว่า ผู้ป่วยกลุ่มที่ทานพริกมีระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) คงที่ แต่มีระดับคอเลสเตอรอลชนิดดี (HDL) เพิ่มขึ้น ในขณะที่ผู้ป่วยที่ไม่ทานพริกเลย มีระดับคอเลสเตอรอลทั้งหมดสูงขึ้น จึงสรุปได้ว่าการทานพริกช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีให้คงที่และเพิ่มคอเลสเตอรอลชนิดดีได้ นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยพบว่า สารแคปไซซินจะช่วยยับยั้งไม่ให้ร่างกายสร้างคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี ในขณะที่ช่วยส่งเสริมให้ร่างกายสร้างคอเลสเตอรอลชนิดดีเพิ่มขึ้นได้ ซึ่งทำให้เรามีปริมาณไตรกลีเซอไรด์ต่ำลงอีกด้วยค่ะ 10.ช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง เชื่อหรือไม่ว่าวิตามินซีในพริกมีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างไนโตรซามีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งในระบบทางเดินอาหาร แถมยังช่วยสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นโปรตีนที่หยุดการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง ซึ่งพริกมีวิตามินซีสูงมาก ดังนั้นการทานพริกจึงช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็งได้ ยิ่งไปกว่านั้นในพริกยังมีเบต้าแคโรทีน ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าสารเบต้าแคโรทีนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ สามารถลดอัตราการกลายพันธุ์ของเซลล์ และช่วยทำลายเซลล์มะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งปอดและมะเร็งช่องปากได้ ขอขอบคุณข้อมูลจาก : health.kapook,มหิดล แชลแนล ขอขอบคุณภาพสวยๆจาก : internet
โทษของดอกอัญชัน ข้อควรระวังที่คุณอาจมองข้าม!! mashare 14:21 0 Comments โทษของดอกอัญชัน ข้อควรระวังที่คุณอาจมองข้าม ดอกอัญชันมีชื่อวิทยาศาสตร์: Clitoria ternatea L. จัดอยู่ในตระกูลถั่ว มีดอกสีม่วงอมน้ำเงินสวยงามตามธรรมชาติ มีสรรพคุณและประโยชน์มากมาย โดยในดอกอัญชันนั้นมีสารตัวหนึ่งที่ชื่อว่า "แอนโทไซยานิน" (Anthocyanin) ซึ่งสารชนิดนี้สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน มีหน้าที่ไปช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ทำให้เลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ได้ดีมากขึ้น โทษของดอกอัญชัน คุณเคยรู้หรือค่อยอ้างไม่? ว่าดอกอัญชันนั้น มีโทษเหมือนกัน มีข้อมูลค่อนข้างน้อยเพราะว่างานวิจัยส่วนใหญ่ไม่ค่อยอ้างโทษสักเท่าไหร่ วันนี้ Mashareblog ได้รวบรวมข้อมูลมาให้ ดังนี้ค่ะ - 1.ผู้ป่วยที่เป็นโรคโลหิตจาง เลี่ยงการรับประทานส่วนผสมที่มีดอกอัญชันเป็นอันขาด ให้หลีกเลี่ยงอาหาร เครื่องดื่มที่ย้อมสีด้วยดอกอัญชัน เพราะในดอกอัญชันมีฤทธิ์ในการละลายลิ่มเลือด อาจส่งผลต่อการทำงานของไตให้ทำงานหนักขึ้น เนื่องจากไตต้องทำหน้าที่ในการขับสีของดอกอัญชันออกจากร่างกายให้หมด -2.การใช้ประโยชน์จากดอกอัญชันเพื่อการบริโภค ควรระมัดระวังการรับประทานหรือส่วนผสมที่มีดอกอัญชัน ร่วมกับยาที่มีฤทธิ์ต้านการเกาะกลุ่มของเกร็ดเลือด หรือยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด เช่น แอสไพริน Warfarin เป็นต้น เพราะมีรายงานว่าสาร Ternatin D1 ในดอกอัญชันมีฤทธิ์ต้านการเกาะกลุ่มของเกร็ดเลือด ซึ่งมีผลเสริมกันจนอาจเกิดอันตรายต่อร่างกายได้ ดังนั้นผู้ที่ต้องใช้ยาดังกล่าวเป็นประจำ ถ้าหากต้องการรับประทานดอกอัญชันในรูปแบบเครื่องดื่มหรือรูปแบบชาชง ไม่ควรชงเข้มข้นมากและไม่ควรดื่มแทนน้ำ - 3.ผู้ป่วยที่เป็นโรคความดันโลหิตสูงหรือต่ำ ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานดอกอัญชัน เพราะอาจทำให้มีอาการหน้ามืดและหมดสติได้ง่าย - 4.การดื่มชาดอกอัญชันที่ร้อนจัดมากๆ จะส่งผลเสียต่อร่างกาย นอกจากจะทำให้ภายในปากพองแล้ว การดื่มชาที่มีอุณหภูมิสูงเกิน 60 องศาเซลเซียสขึ้นไป อาจทำให้เยื่อบุผิวหลอดอาหารเสียสภาพภูมิคุ้มกันและทำให้ดูดซับสารก่อมะเร็งหรือสารอื่นๆ ได้โดยง่าย - 5.การดื่มน้ำสมุนไพรใดๆ รวมถึงดอกอัญชัน ไม่ควรดื่มติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะอาจจะได้รับโทษของดอกอัญชันมาเป็นของแถมด้วย - 6.หลีกเลี่ยงการเด็ดดอกอัญชันแล้วทานแบบสดๆ เพราะขั้วของดอกอัญชันมียางอาจทำให้ระคายเคืองภายในลำคอ ส่วนเมล็ดอาจทำให้มีอาการคลื่นไส้อาเจียนได้ - 7.ผู้ที่มีอาการแพ้ดอกไม้ต่างๆ ควรระมัดระวังการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมองดอกอัญชัน หากเกิดอาการแพ้ ระคายเคืองขึ้นมาควรหยุดใช้ทันที - 8.สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัวต่างๆ หากไม่มั่นใจในการรับประทานดอกอัญชัน ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานดีกว่าค่ะ โทษของดอกอัญชัน มีผลเสียต่อร่างกายไม่ใช่น้อย คนปกติทั่วไปหากเลือกรับประทานดอกอัญชันก็ต้องรับประทานให้พอเหมาะ และพอดี ควรหยุดเมื่อรับประทานเป็นเวลานาน โทษของดอกอัญชันจะได้ไม่มาทำอันตรายต่อร่างกายของคุณ ควรระลึกอยู่เสมอ ขึ้นชื่อว่าสมุนไพรหรือพืชชนิดใดๆ ก็ตาม ถึงแม้ว่าจะมีสรรพคุณทีมีประโยชน์มากมายเพียงใด แต่ก็มักมีโทษรวมอยู่ด้วย ดังนั้นเราต้องรับประทานอย่างพอประมาณไม่มากไปหรือนานเกินไป และควรศึกษาหาประโยชน์ทั้งคุณและโทษอย่างมีสติค่ะ ขอขอบคุณข้อมูลจาก : herbdailys ขอขอบคุณภาพสวยๆจาก : internet
ประโยชน์ของอัญชัน มีสรรพคุณชั้นเลิศ mashare 14:50 0 Comments 15 ประโยชน์ของดอกอัญชัน มีสรรพคุณชั้นเลิศ Nutritional Benefits of Butterfly Pea or Blue Pea Flowers (Anchan) วันนี้ Mashareblog จะพามาทำความรู้จักกับอัญชันกันให้มากขึ้น ดูสิว่าประโยชน์ของดอกอัญชันมีอะไรบ้างนะ อัญชัน (อังกฤษ: Asian pigeonwings; ชื่อวิทยาศาสตร์: Clitoria ternatea L.) ดอกอัญชัน เป็นไม้เถา มีดอกสีม่วงอมน้ำเงินสวยงามตามธรรมชาติ ลำต้นมีขนนุ่ม รูปทรงคล้ายหอยเชลล์ มีถิ่นกำเนิดในอเมริกาใต้ ปลูกได้ทั่วไปในเขตร้อน ทำให้นิยมนำมาคั้นเป็นสีผสมอาหาร คุณประโยชน์ของดอกอัญชันยังครอบคลุมไปถึง สรรพคุณทางยาอันหลากหลาย เช่น ลดไข้ แก้หอบหืด เป็นต้น ประโยชน์ของดอกอัญชัน ดอกอัญชันมีประโยชน์ต่อสุขภาพในหลายด้าน ดีต่อสุขภาพร่างกายของคนเราตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าเลยค่ะ และมีคุณสมบัติในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ โดยในดอกอัญชันนั้นมีสารตัวหนึ่งที่ชื่อว่า "แอนโทไซยานิน" (Anthocyanin) ซึ่งสารชนิดนี้สามารถช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน มีหน้าที่ไปช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ทำให้เลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ได้ดีมากขึ้น มีประโยชน์อีกหลายอย่างไปดูกันเลยค่ะ 1. ช่วยบำรุงสายตา ป้องกันอาการตาฝ้าฟาง ตาแฉะ และป้องกันโรคต้อกระจก 2. มีสารต้านอนุมูลอิสระในดอกอัญชัน ช่วยชะลอริ้วรอย และดูแลผิวพรรณให้เต่งตึง กระชับ 3. ช่วยเพิ่มภูมิต้านทานให้กับร่างกาย 4. ช่วยเสริมสร้างความจำ บำรุงสมอง 5. ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดในผู้ป่วยโรคเบาหวาน 6. ช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดโรคมะเร็ง 7. ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคไขมันอุดตันเส้นเลือด 8. ช่วยให้ระบบโลหิตไหลเวียนได้ดียิ่งขึ้น 9. ช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานให้ร่างกายและเพิ่มพลังทำให้ร่างกายมีแรงขึ้น 10. ช่วยขับปัสสาวะ และเป็นยาระบายอ่อนๆ 11. ช่วยรักษาอาการผมร่วง บำรุงเส้นผมให้แข็งแรง เงางาม ดกดำ 12. ช่วยล้างสารพิษ และขับของเสียออกจากร่างกาย 13. ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและภาวะหลอดเลือด หัวใจอุดตัน 14. ช่วยป้องกันและบรรเทาอาการเหน็บชาตามนิ้วมือนิ้วเท้า 15. แก้อาการฟกช้ำ สมุนไพรอย่างดอกอัญชัน จะมีสีที่สวยแปลกตาแล้ว ยังเป็นสมุนไพร ที่หาไม่ยากด้วยค่ะ และเราสามารถปลูกได้เองที่บ้าน แต่ก็ควรใช้ให้พอดี เพราะสมุนไพรทุกชนิด ใช้มากเกินไปก็เป็นโทษได้เช่นกันค่ะ ขอขอบคุณข้อมูลจาก : sanook.com,honestdocs.co ขอขอบคุณภาพสวยๆจาก : internet